วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หน่วยที่ 3
การบำรุงรักษายานพาหนะ


สาระสำคัญ

ยานพาหนะที่มีระยะเวลาในการใช้งานนาน ๆ อาจจะมีชิ้นส่วนของเครื่องยนต์บางชิ้นเกิดการสึกหรอ หรือชำรุดเสียหายก่อนระยะเวลาการใช้งาน เราจึงควรรู้จักวิธีการบำรุงรักษายานพาหนะ ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ แล้วยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแช่มชิ้นส่วนที่สึกหรออีกด้วย เพราะฉะนั้นการบำรุงรักษายานพาหนะ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ขับขี่ควรรู้วิธีตรวจเช็คได้ด้วยตัวท่านเองเพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้ยานพาหนะ

จุดประประสงค์การเรียนรู้

1. บอกหลักการบำรุงรักษาก่อนใช้ยานพาหนะประจำวัน
2. บอกหลักการตรวจสอบน้ำมันเบรกและน้ำมันคลัตช์
3. บอกหลักการตรวจแบตเตอรี่และน้ำกรดในแบตเตอรี่
4. บอกหลักการตรวจไฟแสงสว่างของรถยนต์
5. บอกหลักการตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำ ถังพักน้ำสำรอง และถังน้ำล้างกระจก

กิจกรรม

1. อธิบายขั้นตอนการดูแลยานพาหนะ
2. สาธิตการปฏิบัติจริงให้ผู้เรียนทุกคนดูตามลำดับขั้นตอน
3. แบ่งกลุ่มนักเรียนปฏิบัติจริง

การวัดผล

1. สังเกตความสนใจใฝ่รู้ในขณะเรียน และการตอบถามในชั้นเรียน
2. การทำแบบฝึกหัดท้ายบท
3. สังเกตจากการปฏิบัติจริงว่ามีความสนใจหรือไม่

















การบำรุงรักษายานพาหนะ

สาระสำคัญ

ยานพาหนะที่มีระยะเวลาในการใช้งานนาน ๆ อาจจะมีชิ้นส่วนของเครื่องยนต์บางชิ้นเกิดการสึกหรอ หรือชำรุดเสียหายก่อนระยะเวลาการใช้งาน เราจึงควรรู้จักวิธีการบำรุงรักษายานพาหนะ ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ แล้วยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแช่มชิ้นส่วนที่สึกหรออีกด้วย เพราะฉะนั้นการบำรุงรักษายานพาหนะ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ขับขี่ควรรู้วิธีตรวจเช็คได้ด้วยตัวท่านเองเพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้ยานพาหนะ

จุดประประสงค์การเรียนรู้

1. บอกหลักการบำรุงรักษาก่อนใช้ยานพาหนะประจำวัน
2. บอกหลักการตรวจสอบน้ำมันเบรกและน้ำมันคลัตช์
3. บอกหลักการตรวจแบตเตอรี่และน้ำกรดในแบตเตอรี่
4. บอกหลักการตรวจไฟแสงสว่างของรถยนต์
5. บอกหลักการตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำ ถังพักน้ำสำรอง และถังน้ำล้างกระจก

กิจกรรม

1. อธิบายขั้นตอนการดูแลยานพาหนะ
2. สาธิตการปฏิบัติจริงให้ผู้เรียนทุกคนดูตามลำดับขั้นตอน
3. แบ่งกลุ่มนักเรียนปฏิบัติจริง

การวัดผล

1. สังเกตความสนใจใฝ่รู้ในขณะเรียน และการตอบถามในชั้นเรียน
2. การทำแบบฝึกหัดท้ายบท
3. สังเกตจากการปฏิบัติจริงว่ามีความสนใจหรือไม่

การบำรุงรักษาก่อนใช้ยานพาหนะประจำวัน

การตรวจรถยนต์ประจำวัน เป็นหน้าที่ของผู้ขับขี่ ควรใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 นาทีก่อนเริ่มปฏิบัติงาน ตรวจจุดต่างฯที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของรถยนต์ เพื่อเป็นหลักประกันว่าระบบต่างๆของรถยนต์ทำงานได้ดีตามปกติ ทำให้เกิดความมั่นใจในการขับขี่ ตลอดจนช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์และไม่เป็นปัญหาการติดขัดผู้ใช้ถนนคนอื่นๆ
ก่อนที่ผู้ขับขี่จะทำการตรวจบำรุงรักษาได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องนั้น จะต้องรู้ว่าอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนที่จะตรวจนั้นอยู่ตรงไหน เช่น ต้องรู้ว่าแบตเตอรี่อยู่ตรงส่วนไหนของรถยนต์ กรองอากาศอยู่ตรงส่วนไหน เติมน้ำตรงไหน เติมน้ำมันเบรกน้ำมันคลัตช์ตรงไหน เติมน้ำมันเครื่องตรงไหน ถ้าไม่ทราบให้ศึกษาจากคู่มือประจำรถนั้นๆ เพื่อช่วยให้ท่านสามารถตรวจและบำรุงรักษาก่อนใช้รถยนต์ประจำวันได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง จึงกำหนดคำนิยามง่ายฯ ขึ้นคือ BE-WAGON (บี-แวกอน) แต่ละตัวอักษรของคำ BE-WAGON ใช้แทนสิ่งที่จะต้องตรวจและบำรุงรักษาก่อนจะนำรถยนต์ออกไปใช้งานประจำวัน ดังนี้
B (Brake) ตรวจระดับน้ำมันเบรก น้ำมันคลัตช์และเบรกมือ
E (Eteetrieitn) ตรวจระบบไฟฟ้า ระดับน้ำกรดในแบตเตอรี่
W (water) ตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำ ถังพักน้ำสำรอง ถังน้ำล้างกระจก
A (Air) ตรวจความดันลมยาง สภาพดอกยางรวมทั้งยางอะไหล่ด้วย
G (Gasoline) ตรวจระดับน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง
O (Oil) ตรวจระดับน้ำมันเครื่องและรอยรั่ว
N (Noise) ตรวจเสียงดังของเครื่องรถยนต์และบริเวณตัวถัง

การตรวจระดับมันเบรกน้ำมันคลัตช์ และเบรกมือ

ระดับน้ำมันเบรกและน้ำมันคลัตช์ในกระปุก สามารถมองเห็นได้ ซึ่งระดับน้ำมันเบรกน้ำมันคลัตช์ควรอยู่ระหว่างขีด “MAX” และ “MIN” ควรตรวจระดับน้ำมันเบรกและน้ำมันคลัตช์ทุกครั้งเมื่อมีการตรวจระดับน้ำมันเครื่อง ซึ่งระดับน้ำมันเบรกอาจจะลดลงบ้าง ควรเติมให้ถึงระดับ “MAX” อยู่เสมอ ถ้าในกรณีน้ำมันเบรกลดลงต่ำกว่าระดับ “MIN” แสดงว่ามีการรั่วในระบบเบรกจะต้องแก้ไขโดยเร็วซึ่งอาจจะต้องนำรถยนต์ไปให้ช่างตรวจซ่อมระบบเบรกก่อนที่จะนำรถออกไปใช้
การตรวจน้ำมันเบรกและน้ำมันคลัตช์ ควรใช้ความระมัดระวังเนื่องจากน้ำมันเบรกและน้ำมันคลัตช์เป็นอันตรายต่อดวงตาและทำลายสีรถ อย่าใช้น้ำมันเบรกและน้ำมันคลัตช์ซึ่งเปิดใช้แล้วเก็บไว้นานเกิน 1 ปี เนื่องจากน้ำมันเบรกดูดความชื้นจากอากาศ ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบเบรก ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนน้ำมันเบรกตามกำหนดเวลาเป็นสิ่งจำเป็น โดยปกติควรเปลี่ยนทุกๆ 2 ปี ถ้าน้ำมันเบรกเก่าหรือเสื่อมสภาพ (มีน้ำปน) จะกัดกร่อนกระบอกเบรกเป็นหลุมเล็กๆ เรียกว่าตามด ทำให้น้ำมันเบรกรั้วได้
มันเบรกมาตรฐาน DOT (Department of Transportation)
น้ำมันเบรกมาตรฐาน DOT 3 ใช้กับรถยนต์ทั่วไป
น้ำมันเบรกมาตรฐาน DOT 4 เหมาะกับรถยนต์ที่ใช้ระบบเบรก ABS (antilock braking
system) ซึ่งใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม
น้ำมันเบรกมาตรฐาน DOT 5 ใช้กับรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูง

การตรวจเบรกมือ

เบรกมือทำหน้าที่ห้ามล้อหลังทั้งสองข้าง โดยการดึงด้ามเบรกมือขึ้น เมื่อจะปลดเบรกมือให้ดึงขึ้นเล็กน้อยและกดปุ่มที่ปลายด้ามแล้วจึงกดลงจนสุด เมื่อเบรกมือทำงาน ไฟเตือนสีแดงเป็นตัวอักษร “P” บนแผงหน้าปัดจะสว่างขึ้น ควรกดปุ่มปลดล็อกที่ปลายด้ามเบรกมือทุกครั้งที่ดึงเบรกมือขึ้น เพื่อป้องกันมิให้ฟันเฟืองล็อกสึกหรอ เวลาดึงเบรกมือขึ้นต้องไม่มีเสียงดัง

วิธีตรวจเบรกมือแบบง่าย ๆ
ทำโดยจอดรถบนทางลาดเอียงแล้วดึงเบรกมือขึ้นจนสุด ถ้ารถยังเคลื่อนที่ได้แสดงว่าสายเบรกหย่อนเกินไปต้องทำการปรับใหม่ ข้อสังเกตถ้าปรับสายเบรกมือตึงเกินไป จำนวนเสียงดัง “คลิก”จะน้อยกว่าค่ากำหนด แต่ถ้าปรับสายเบรกเมื่อหย่อนเกินไป จำนวนเสียงดัง “คลิก” จะมากกว่าค่ากำหนด

การตรวจแบตเตอรี่

แบตเตอรี่รถยนต์มีใช้กัน 2 แบบ ได้แก่ แบบทั่วไปและแบบปิดผนึก แบตเตอรี่แบบทั่วไปจะมีฝาจุกเปิดออกได้เพื่อใช้สำหรับเติมน้ำกลั่น ส่วนแบบปิดผนึกไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ที่ส่วนบนของแบตเตอรี่มีตาแมวแสดงสภาพการประจุไฟของแบตเตอรี่และระดับน้ำกรด การตรวจแบตเตอรี่ว่ามีไฟเพียงพอที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยการบีบแตรและเปิดไฟใหญ่ถ้าแตรดังเสียงเบาและไฟใหญ่หรี่แสดงว่าแบตเตอรี่อ่อน การตรวจแบตเตอรี่ด้วยสายตา ทำได้โดยการตรวจดูเปลือกหม้อแบตเตอรี่
และส่วนบนว่ามีรอยร้าวหรือไม่ ที่ยึดหม้อแบตเตอรี่ ฝาจุก สภาพขั้ว ถ้าขันเหล็กรัดแบตเตอรี่แน่นเกินไป อาจทำให้เปลือกหม้อแบตเตอรี่แตกร้าวได้ ถ้าฝากจุกอุดตัน อาจทำให้แบตเตอรี่บวมและระเบิดได้ ขั้วร้อนจัดหรือไม่ มีขี้เกลือขาวๆ จับที่ขั้วหรือไม่ น้ำกรดเพียงพอหรือไม่ วัดความถ่วงจำเพาะของน้ำกรดในแบตเตอรี่โดยใช้ไฮโดรมิเตอร์ แบตเตอรี่เมื่อใช้งานนานๆ จะมีขี้เกลือขาวจับอาจจะเกิดจากน้ำกรดในแบตเตอรี่ซึมออกมา หรือการเติมน้ำกลั่นมากเกินไป ถ้ามีขี้เกลือเกาะที่ขั้ว แก้ปัญหาง่าย ๆ โดยใช้น้ำร้อนราดลงบนขั้วแบตเตอรี่

ตรวจระดับน้ำกรดในแบตเตอรี่

แบตเตอรี่แบบทั่วไป เมื่อใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง ระดับน้ำกรดอาจจะลดลงบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ใช้รถทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ต้องตรวจระดับน้ำกรดบ่อยขึ้น อย่างน้อยทุก ๆ 2 สัปดาห์ ถ้าพบว่าพร่องให้เติมน้ำกลั่นลงไป และอย่าเติมให้เกินระดับสูงสุดถ้ามองไม่ค่อยเห็นระดับน้ำกรด ให้ใช้ไฟฉายส่อง จะทำให้เห็นระดับน้ำกรดทางด้านข้างได้อย่างชัดเจน ถ้าระดับน้ำกลั่นต่ำเกินไปจะทำให้เกิดขี้เกลือขึ้นบนแผ่นธาตุ แบตเตอรี่จะชำรุดอย่างรวดเร็วควรเติมท่วมสูงกว่าแผ่นธาตุที่มองเห็นประมาณ 1 เซนติเมตร และควรตรวจแบตเตอรี่ให้ครบทุกช่อง ห้ามเติมด้วยน้ำชนิดอื่นโดยเด็ดขาดและต้องไม่เติมจนล้น เพราะน้ำกรดในแบตเตอรี่จะไหลออกมากัดกร่อนภายนอกทำให้เกิดความถ่วงจำเพาะของน้ำกรดเจือจาง เมื่อเติมน้ำกลั่นแล้ว ปิดฝาจุกให้แน่น

การตรวจไฟแสงสว่างของรถยนต์

ผู้ขับขี่ต้องรู้ว่าถ้าหลอดไฟเหล่านี้ไม่ติด หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ทำงาน สิ่งแรกจะต้องตรวจคือฟิวส์ขาดหรือไม่ บางครั้งอาจแค่หลวมก็ได้ ตำแหน่งแผงฟิวส์ควรดูในสมุดคู่มือประจำรถ โดยทั่วไปมักจะติดตั้งอยู่ที่บริเวณใต้แผงหน้าปัดและบริเวณห้องเครื่อง


วิธีตรวจฟิวส์แบบง่าย ๆ ทำได้ดังนี้

1. เปิดฝาครอบแผงฟิวส์ออก
2. ดึงฟิวส์ของอุปกรณ์นั้นออกมาด้วยที่ดึงฟิวส์
3. ถ้าพบว่าฟิวส์ขาดให้เปลี่ยนใหม่ ควรใช้ฟิวส์อะไหล่ตรงตามรายการที่มีให้ไว้บนฝา
ครอบแผงฟิวส์
4. ถ้าใส่ฟิวส์อันใหม่ลงไป เปิดสวิทช์อุปกรณ์ไฟฟ้านั้นปรากฏว่าฟิวส์ขาดอีก แสดงว่า
เกิดการลัดวงจร ไม่ควรใช้เส้นลวดใส่เข้าไปแทน ควรนำรถเข้าตรวจสอบระบบไฟฟ้าที่ศูนย์บริการทันทีเพื่อความปลอดภัย
5. ถ้าฟิวส์ไม่ขาดแต่หลอดไฟไม่ติด แสดงว่าหลอดไฟอาจจะขาด หรือขั้วสายสกปรก
ควรถอดหลอดไฟออกมาตรวจดู

ตรวจระดับน้ำในหม้อน้ำ ถังพักน้ำสำรอง และถังน้ำล้างกระจก

ตรวจระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำขณะเครื่องยนต์เย็น โดยเปิดฝาปิดหม้อน้ำ ถ้าน้ำในหม้อน้ำพร่องใช้น้ำสะอาด (อาจผสมน้ำยาหล่อเย็น) เติมให้เต็มจนถึงระดับคอหม้อน้ำและเติมน้ำในถังพักสำรองจนถึงขีดสูงสุด ระบบหล่อเย็นในปัจจุบันเป็นแบบระบบปิด โอกาสที่น้ำหล่อเย็นจะสูญเสียหรือลดลงมีน้อยมาก การตรวจระดับน้ำหล่อเย็นมักดูระดับน้ำในหม้อพักน้ำสำรอง จะต้องอยู่ระหว่างขีดสูงสุดและต่ำสุด ถ้าระดับต่ำกว่าขีดต่ำสุดให้เปิดฝาและเติมให้ถึงระดับสูงสุด (พอดี) และตรวจเติมน้ำในถังน้ำล้างกระจก (อาจผสมน้ำยาล้างกระจก)ไปพร้อมกัน


กรณีน้ำในถังพักน้ำสำรองแห้งสนิท ให้เปิดฝาปิดหม้อน้ำออกและเติมน้ำจนถึงระดับคอหม้อน้ำและเติมน้ำในถังพักน้ำสำรองจนถึงขีดสูงสุด ถ้าน้ำหล่อเย็นลดลงเร็วกว่าปกติอาจเกิดการรั่วที่ใดที่หนึ่ง ควรตรวจดูท่อยางบริเวณที่รัดท่อยาง ก๊อกถ่ายน้ำรอยรั่วบริเวณหม้อน้ำ เพื่อตรวจซ่อมหรือนำไปให้ช่างซ่อมต่อไป

ควรตรวจเช็คลมยางทุกๆ 2 สัปดาห์ หรืออย่างน้อยเดือนละครั้งรวมทั้งยางอะไหล่ด้วย แรงดันลมยางที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ลดความสะดวกสบายในการขับขี่ ลดอายุการใช้งานของยางและไม่ปลอดภัยต่อการขับขี่ ถ้าพบว่าต้องเติมลมยางบ่อยกว่าปกติควรนำรถเข้าตรวจสภาพ ข้อแนะนำในการตรวจเช็ดลมยางดังนี้
1. ควรตรวจเช็ดลมยางขณะที่ยางเย็นเท่านั้น ถ้ารถจอดอยู่อย่างน้อย 3 ชั่วโมง และขับมาไม่เกิน 1.5 กิโลเมตร จะทำให้การตรวจเช็ดลมยางแน่นอนยิ่งขึ้น
2. ใช้เกจวัดลมยางทุกครั้ง การใช้สายตาสังเกตลมยางนั้นผิดพลาดได้ง่ายนอกจากนี้แรงดัน
ลมยางผิดพลาดไปเพียง 2-3 ปอนด์ ก็มีผลต่อการขับขี่และควบคุมรถได้
3. อย่าปล่อยหรือลดแรงดันลมยางหลังจากขับขี่ ภายหลังการขับขี่แรงดันลมยางจะเพิ่มขึ้น
เนื่องจากความร้อน
4. ต้องแน่ใจว่าปิดฝาเติมลมยางกลับเข้าที่แล้ว ถ้าไม่ปิดฝาสิ่งสกปรกหรือความชื้นจะเข้าไปภายในแกนวาวล์และทำให้ลมรั่วได้ ถ้าเกิดฝาเปิดหายต้องหาฝาใหม่มาปิดให้เร็วที่สุด

การตรวจเช็ดสภาพยาง

ตรวจเช็ดสภาพดอกยาง โดยสังเกตจากตัวบ่งชี้ดอกยางสึก ถ้าตัวบ่งชี้ดอกยางสึกปรากฏขึ้น ให้เปลี่ยนยางใหม่ตำแหน่งของตัวบ่งชี้ดอกยางสึกจะปรากฏเป็นเครื่องหมาย เช่น “TWI’’ หรือ “Δ” , ฯลฯ ที่ด้านข้างของยางแต่ละเส้น ยางของรถโตโยต้าจะมีตัวบ่งชี้ดอกยางสึกอยู่ด้วยเพื่อช่วยให้ทราบว่าเมื่อใดที่ควรเปลี่ยนยาง เมื่อดอกยางสึกเหลือเพียง 1.6 มม. (0.06 นิ้ว) หรือน้อยกว่าจะปรากฏตังบ่งชี้ให้เห็น หากสังเกตเห็นรอยดังกล่าวมากกว่า 2 แนวขึ้นไป ควรเปลี่ยนยางใหม่ ยิ่งดอกยางตื้นมากเท่าไรก็ยิ่งเสี่ยงกับการลื่นไถลมากขึ้นเท่านั้น ถ้ายางแบนบ่อยๆ หรือไม่สามารถซ่อมได้อันเนื่องมาจากขนาดหรือตำแหน่งที่ฉีกขาดหรือความเสียหายอื่นๆ ควรเปลี่ยนใหม่หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาศูนย์บริการยาง ลมยางรั่วในขณะขับขี่อย่าขับต่อไป การขับขี่แม้เพียงระยะทางสั้นๆ ก็สามารถทำความเสียหายรุนแรงแก่ยางได้ ถ้ายางมีอายุการใช้งานนานกว่า 6 ปี ต้องให้ช่างผู้ชำนาญทำการตรวจเช็คแม้จะไม่ปรากฏร่องรอยความเสียหายชัดเจนก็ตาม สำหรับยางอะไหล่และยางที่เก็บไว้เป็นเวลานานก็เช่นเดียวกัน เมื่อยางถูกใช้งานเป็นเวลานาน ๆ ยางอาจสึกไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงควรสลับยางเพื่อให้ยางสึกเท่ากันและใช้งานได้นาน




ตรวจระดับน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง

การเลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกต้องนั้นมีความสำคัญต่อสมรรถนะที่ดีต่อเครื่องยนต์ ก่อนที่ผู้ขับขี่จะออกรถทุกครั้งจำเป็นต้องตรวจระดับน้ำมันในถัง เพื่อความมั่นใจในการขับขี่ ควรเติมน้ำมันเชื้อเพลิงให้เต็มถังทุกครั้ง ถ้าหากเติมน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เต็มถังความชื้นของอากาศภายในถังจะรวมตัวกลายเป็นหยดน้ำเกาะอยู่ตามผนังด้านในของถังน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากน้ำมันมีน้ำหนักมากกว่าน้ำจึงรวมอยู่ที่ก้นถัง ทำให้ถังเกิดสนิมได้และสนิมนี้จะถูกดูดขึ้นไปทำให้ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตันเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์เดินไม่เรียบและเครื่องดับได้

ตรวจน้ำมันเครื่อง

ก่อนทำการตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง รถยนต์จะต้องจอดอยู่บนพื้นราบและเครื่องยนต์ต้องเย็น (ถ้าเครื่องเย็นน้ำมันเครื่องจะรวมตัวกันอยู่ที่ก้นอ่าง) ค่าที่อ่านได้จากเหล็กวัดระดับน้ำมันเครื่องจะถูกต้องแน่นอนและควรเติมให้อยู่ในระดับ
ดึงเหล็กวัดระดับน้ำมันเครื่องออก ใช้ผ้าเช็ดน้ำมันเครื่องที่ติดมากับเหล็กวัดออก แล้วเสียบเหล็กวัดระดับน้ำมันเครื่องลงไปใหม่ให้ลึกที่สุด ดึงเหล็กวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาให้อยู่ในแนวราบแล้วตรวจเช็ดระดับน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านเหล็กวัด (ระมัดระวังอย่าทำน้ำมันเครื่องหยดลงบนชิ้นส่วนเครื่องยนต์) ถ้าระดับน้ำมันเครื่องต่ำหรืออยู่เหนือระดับต่ำเล็กน้อยให้เติมน้ำมันเครื่องชนิดเดียวกันเพิ่มลงไป โดยเปิดฝาช่องเติมน้ำมันเครื่องค่อยๆเติมน้ำมันเครื่องลงที่ละน้อย พร้อมกับตรวจดูระดับน้ำมันที่ก้านเหล็กวัด (ปริมาณน้ำมันเครื่องที่ต้องเติมเพิ่มระหว่างเส้นระดับต่ำกับเส้นระดับเต็ม 1.5 ลิตร ) เมื่อระดับน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับถูกต้องแล้ว ให้เสียบก้านเหล็กวัดกลับเข้าที่แล้วปิดฝาช่องเติมน้ำมันเครื่อง โดยใช้มือบิดให้แน่น

การตรวจเสียงดังของเครื่องยนต์

โดยทั่วไปแล้วถ้าเครื่องยนต์ทำงานปกติเสียงของเครื่องยนต์จะไม่ดังมากมายนัก แต่ถ้าเครื่องยนต์ดังผิดปกติ ผู้ขับขี่อาจใช้เครื่องฟังเสียงตรวจดูแหล่งที่มาของเสียงนั้น เสียงดังที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ได้แก่ เสียงดังที่เกิดจากสายพานหย่อน เสียงดังที่เกิดจากไฟแรงสูงรั่ว (สายหัวเทียน ) เสียงดังที่เกิดจากเครื่องหรือโซ่ราวลิ้นสึกหรอ เสียงดังที่เกิดจากท่อไอเสียรั่ว เสียงวาล์วดัง และเสียงดังต่าง ๆ ที่เกิดจากเครื่องยนต์ชำรุดในขณะขับรถยนต์ถ้าได้ยินเสียงดังผิดปกติเกิดขึ้นทันทีทันใด ผู้ขับขี่ควรหยุดรถและตรวจดูว่าเสียงดังมาจากส่วนไหนของเครื่องยนต์ ถ้าเห็นว่าไม่ปลอดภัย ไม่ควรขับต่อไปเพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายรุนแรง ( ควรนำไปให้ช่างซ่อมเครื่องยนต์ตรวจซ่อม )


การบำรุงรักษาตามคู่มือการใช้รถ (Owner’s Manual)

การตรวจเช็ครถตามระยะเวลาที่บริษัทผู้ผลิตกำหนดนั้น เป็นสิ่งที่ต้องกระทำเมื่อถึงกำหนด เพื่อบำรุงรักษาให้รถอยู่ในสภาพที่สมบรูณ์อยู่เสมอ นอกจากนี้การบันทึกข้อมูลยังเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้การตรวจเช็ดครั้งต่อไปถูกต้อง ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ที่จะได้รับทั้ง ตัวเจ้าของรถ และรถของท่านควรนำรถเข้าตรวจในศูนย์บริการของบริษัทผู้ผลิตตามระยะเวลาหรือระยะทางที่กำหนด



หมายเหตุ
1. ตรวจเช็คเสียงเคาะและการสั่นของเครื่องยนต์ และปรับตั้งถ้าจำเป็น
2. หลังจาก 80,000 กม. หรือ 48 เดือน ให้ตรวจสอบทุก ๆ 20,000 กม. หรือ 12 เดือน
3. ตรวจเช็คดูว่าไม่มีเศษใบไม้ หรือซากแมลงอุดตันที่หม้อน้ำและคอนเด็นเซอร์พร้อมทั้ง
ทำความสะอาดรอยต่อท่อ ตรวจเช็คสภาพการติดตั้งของรอยต่อท่อ การผุกร่อน ฯลฯ
4. เปลี่ยนที่ 160,000 กม. จากนั้นทุก ๆ 80,000 กม. ใช้เฉพาะน้ำยาหล่อเย็นที่มีส่วนผสม
ของเอทธิลีน-ไกลคอลที่มีคุณภาพสูงใกล้เคียงกัน แต่ต้องปราศจากสารประกอบซิลิกา
5. ใช้เฉพาะน้ำยาหล่อเย็นที่มีส่วนผสมของเอทธิลีน-ไกลคอลที่มีคุณภาพสูงใกล้เคียงกัน แต่ต้องปราศจากสารประกอบซิลิกา สารประกอบไนโตรเจน กรดไนตรัส และกรดโบริค ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผสมเพื่อยืดอายุการใช้งาน
6. หลังจาก 80,000 กม. หรือ 48 เดือน ให้ตรวจสอบทุก ๆ 20,000 กม. หรือ 12 เดือน

การทำความสะอาดยานพาหนะ

การทำความสะอาดเบาะควรดูว่าวัสดุเบาะเป็นผ้าหรือหนัง (หนังแท้หรือหนังเทียม) เพราะวัสดุทั้งสองชนิดมีข้อดีและข้อเสียต่างกันคือ เบาะผ้าจะดูแลทำความสะอาดยากกว่า แต่จะไม่เก็บความร้อนในขณะจอดยานพาหนะตากแดด ส่วนเบาะหนังแท้หรือหนังเทียมจะดูแล ทำความสะอาดง่าย แต่เก็บความร้อนได้มากกว่าแบบผ้า ดังนั้นจึงควรเลือกวิธี ทำความสะอาดให้เหมาะสม ก่อนเริ่มทำความสะอาด ให้นำยานพาหนะไว้ในที่โล่งแจ้ง และมีแสดงสว่าง เปิดประตูและกระจกหมดทั้ง 4 บาน ใช้ไม้ปัดขนไก่มาตีเบาะและพนักพิงให้ทั่วทั้งเบาะหน้าและหลัง ผู้ทำความสะอาดควรอยู่ต้นลม เพื่อป้องกันไม่ให้สูดดมฝุ่นกระจายออกมา ส่วนการทำความสะอาดเบาะหนังแท้หรือหนังเทียมนั้น ควรใช้น้ำยาขัดเงา ทำความสะอาดเบาะ โดยใช้ผ้า หรือฟองน้ำจุ่มน้ำยาขัดเงาขัดคราบสกปรกให้ทั่ว จุ่มน้ำยาแต่น้อยเพื่อป้องกันการเหนียวเหนอะหนะ และน้ำยาชนิดนี้ยังสามารถนำมา ทำความสะอาดแผงหน้าปัดและแผงประตูได้เช่นกัน คุณสมบัติของน้ำยาช่วยทำให้ พื้นผิวหน้าสะอาดปกป้องฝุ่นไม่ให้จับติดแน่น ป้องกันการซีดจางกรอบแห้งแตกร้าว จากแสงแดดเผา และช่วยเพิ่มความเงางามให้ดูเหมือใหม่ตลอด
การทำความสะอาดพรมพื้นรถ ใช้เครื่องดูดฝุ่นที่ใช้ในยานพาหนะ หรือเครื่องดูดฝุ่นบ้านมาดูดฝุ่นตามที่ต่าง ๆ แต่ถ้าไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าว หรือมีฝุ่นไม่มาก ใช้กระดาษกาวมาพันรอบปลายนิ้วมือ 1 รอบ โดยให้กระดาษกาวส่วนที่มีความเหนียวที่สามารถจับติดกับสิ่งอื่นอยู่ด้านนอก นำมาเก็บสิ่งต่าง ๆ เช่น เศษขนม เม็ดดิน เม็ดทราย หรือเส้นผมที่ตกหล่นบนพรมพื้นรถ หลังจากทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เครื่องปรับอากาศภายในยานพาหนะก็เป็นเรื่องที่สำคัญต้องรู้จักวิธีการบำรุงอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างอากาศที่บริสุทธิ์ให้แก่ผู้ขับขี่

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สวัสดี...

สวัสดีครับผมได้ทำเอกสารประกอบการสอน
วิชา การขับเคลื่อนยานพาหนะ
ระดับชั้น ปวช. สาขาเกษตรกรรม สาขาวิชาเกษตรศาสตร์

ขอเชิญเพื่อน ๆ นิสิต นักเรียน-นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่สนใจ

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สวัสดีครับเพื่อนๆ ป.บัณฑิต รุ่นที่ 10 ทุกคน<

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2551

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ในหลวงกับเทคโนโลยี




พระราชดำริปาล์มน้ำมัน ไบโอดีเซล

วันนี้ ใครๆ ต่างก็พูดถึงน้ำมันไบโอดีเซล ไบโอดีเซลคืออะไร
คำตอบ ก็คือ ไบโอดีเซล หมายถึง น้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตจากไขพืชหรือ
ไขมันสัตว์ มีคุณสมบัติเทียบเท่าน้ำมันดีเซลทั่วไป ตรงกับที่จะนำไป

ใช้ในการจุดระเบิด เครื่องยนต์ดีเซล แต่จะมีใครรู้บ้างว่า เรื่องของปาล์ม

น้ำมันและไบโอดีเซล เป็น
สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยและทดลองทดสอบเป็นเวลา
นานนับสิบๆ ปีแล้ว ผลของการทดลองทดสอบตามพระราชดำริในเรื่องนี้
ประชาชนได้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ปาล์มน้ำมันสามารถนำมาสกัดเป็น
น้ำมันปาล์มและนำมาใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลได้ และทรงทดลองให้เห็นเป็น
ตัวอย่างด้วยพระองค์เองด้วยรถยนต์พระที่นั่งที่ประทับใช้เมื่อครั้งเสด็จฯไป
ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เขื่อนคลองท่าด่าน จังหวัดนครนายก เมื่อวันที่
2 มิถุนายน 2544 ในวันนั้น ... รถยนต์พระที่นั่งติดสติ๊กเกอร์ท้ายรถว่า
รถคันนี้ใช้น้ำมันปาล์ม 100%อีก 4 ปีต่อมา...คือในวันนี้ เครื่องยนต์ดีเซล
สามารถเติมน้ำมันไบโอดีเซลได้แล้วที่โรงงานสาธิตผลิตเมทิลเอสเตอร์ของ
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และที่สถานีจ่ายน้ำมันไบโอดีเซลที่ศูนย์ศึกษา
การพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
เรื่องนี้นับย้อนหลังไปได้ 30 ปี คือในวันที่ 9 กันยายน 2518
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรสวนปาล์มน้ำมัน
ของเกษตรกรที่นิคมสร้างตนเองควนกาหลง จังหวัดสตูล และในปีถัดมา
ได้เสด็จฯ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อทอดพระเนตรโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแบบ
ชาวบ้านที่โรงงานของนิคมสร้างตนเองควนกาหลง จนกระทั่งในปี 2526
มีพระราชกระแสที่ชัดเจนว่า ควรจะมีการส่งเสริมให้เกษตรกรสวนปาล์ม
รายย่อยเหล่านี้ ได้มีโอกาสรวมกลุ่มกันทำการสกัดน้ำมันปาล์มในรูปของ
โรงงานขนาดเล็กที่ใช้เงินลงทุนต่ำ ทรงเน้นถึงประโยชน์ของปาล์มน้ำมัน
ในทุกๆ ส่วน และไม่ให้ทิ้งส่วนใดไปอย่างไร้ค่า เช่น ทะลายเปล่า ก็อาจนำ
มาทำปุ๋ย หรือเพาะเห็ด ส่วนกากปาล์มก็สามารถนำไปใช้เลี้ยงวัว ควาย
และปลา หรือทำเป็นเชื้อเพลิงแทนไม้ฟืนก็ได้ หากเกษตรกรสามารถแปรรูป
น้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถผลิตเป็นน้ำมันปรุงอาหาร
เนยขาว เนยเทียม สบู่ และผงซักฟอกได้ ก็จะทำให้เกษตรกรมีโอกาสใช้และ
จำหน่ายผลผลิตเหล่านี้เพื่อกินและใช้ในท้องถิ่นของตัวเอง จากนั้น มีพระราช
กระแสให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ทำโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรม
น้ำมันปาล์มขนาดเล็กอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยสร้างโรงงานสาธิต
สกัดน้ำมันปาล์มที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ และในปี 2528 ได้เสด็จฯ ไป
ทอดพระเนตรโรงงานนี้ และมีพระราชกระแสเพิ่มเติมให้สร้างโรงงานที่
สหกรณ์นิคมอ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เพื่อเป็นโรงงานสาธิตให้กลุ่มเกษตรกร
สวนปาล์มรายย่อยที่มีความพร้อม จัดทำคู่มือปาล์มน้ำมันและการแปรรูป
น้ำมันปาล์มเผยแพร่ รวมทั้งจัดตั้งกองทุนพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม
ขนาดเล็ก ในปี 2531 พระราชทานพระราชดำริให้จัดสร้างโรงงานสกัด
และแปรรูปน้ำมันปาล์มขนาดเล็กที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่อง
มาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส อีกแห่ง โดยนำผลผลิตปาล์มน้ำมัน
มาสกัดเป็นน้ำมันปาล์มดิบและแปรรูปต่อเนื่องจนถึงขั้นบริโภค เน้นการ
สาธิตให้เกษตรกรมาศึกษาหาความรู้ และเห็นประโยชน์ว่าปาล์มน้ำมัน
สามารถนำมาทำอะไรได้บ้าง และเมื่อเข้าใจแล้วจะได้นำไปปลูกในพื้นที่
ของตนต่อไป เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2543 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารีเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการใช้น้ำมันปาล์มโอเลอีน
บริสุทธิ์ และเมทิลเอสเตอร์เดินเครื่องจักรกลการเกษตรที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนา
พิกุลทองฯ มีพระราชกระแสว่า ? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสน
พระทัยเกี่ยวกับการใช้น้ำมันปาล์มผสมน้ำมันดีเซล เพื่อใช้ในเครื่องจักรกล
การเกษตร ควรทดลองทำในเชิงธุรกิจลักษณะสถานีจำหน่ายในสหกรณ์นิคม
อ่าวลึก จังหวัดกระบี่ และ มีพระราชประสงค์จะสนับสนุนโครงการนี้เป็นการ
ส่วนพระองค์? การศึกษาทดลองและพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตจึงดำเนิน
การเรื่อยมา จนในวันนี้โรงงานทั้งสามแห่งสามารถสนองพระราชดำริได้อย่าง
ครบถ้วน ทั้งในเรื่องการสกัดน้ำมันปาล์มดิบ การกลั่นน้ำมันปาล์มดิบเป็นน้ำมัน
ปาล์มโอเลอีนบริสุทธิ์ ผลิตเนยขาว เนยเทียมจากไขเสตียรินบริสุทธิ์ รวมทั้งผลิต
สบู่ซักล้าง สบู่ฟอกร่างกายได้ และนำไปใช้เร่งน้ำยางพาราได้เป็นผลสำเร็จ
ที่สำคัญ การทดลองใช้น้ำมันไบโอดีเซลกับขบวนรถไฟดีเซลรางสายหาดใหญ่
-สุไหงโกลก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ของมหาวิทยาลัยฯ รถลากพ่วง รถ
บรรทุก เครื่องจักรกลการเกษตร และบุคคลภายนอก ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก
และผู้ที่ได้ทดลองใช้ต่างพูดกันว่า ใช้แล้วควันรถไม่ดำ ไม่มีกลิ่นเหม็น กำลังรถ
ดีเหมือนเดิม ส่วนรถบรรทุก 6 ล้อ กำลังรถดีกว่าเดิม การติดเครื่องยนต์เป็นปกติ
มีเพียงรถ 6 ล้อ และเครื่องสูบน้ำที่ต้องสตาร์ท 2 ครั้ง เมื่อราคาน้ำมันดีเซลใน
ปัจจุบันมีการปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกตลาด และเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่อาจหลีก
เลี่ยงได้ ทำให้มีผู้มาขอซื้อน้ำมันไบโอดีเซลเป็นจำนวนมากขึ้น จนโรงงานผลิต
ไม่ทันจำหน่าย ทำให้มหาวิทยาลัยฯ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ มี
แผนงานที่จะขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อให้ทันแก่ความต้องการของผู้ใช้ และ
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราช
กระแสเกี่ยวกับน้ำมันปาล์มเพิ่มเติมอีกว่า "...น้ำมันปาล์มทราบว่าดีเป็น
น้ำมันที่ดีใช้งานได้ ใช้บริโภคแบบใช้น้ำมันมาทอดไข่ได้ มาทำครัวได้ เอา
น้ำมันปาล์มมาใส่รถดีเซลได้ กำลังของน้ำมันปาล์มนี้ดีมากได้ผล เพราะว่า
เมื่อได้มาใส่รถดีเซลไม่ต้องทำอะไรเลย ใส่เข้าไป แล่นไป คนที่แล่นตาม
บอกว่าหอมดี... " ณ วันนี้ ... ปาล์มน้ำมันจึงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีผู้
สนใจที่จะปลูกกันมากขึ้น แม้ว่า ปาล์มน้ำมันจะเป็นพืชยืนต้นที่ทนทานต่อ
ภัยธรรมชาติ แต่มีสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงควบคู่ไปด้วย ก็คือ ความเหมาะสม
ของสภาพพื้นที่ สภาพอากาศ ความชื้น และยังต้องระมัดระวังสายพันธุ์ที่จะ
ปลูกด้วย มิฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ลงทุนไปทั้งหมดนั้น ก็อาจจะไม่คุ้มค่าและคุ้มทุน
ได้ ทั้งหมดนี้คือ พระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมอง
เหตุการณ์ไปไกลเกินกว่าที่ใครๆ จะนึกถึงกัน ทรงมองเห็นคุณค่าของปาล์ม
น้ำมัน ซึ่งเป็นพืชวัตถุดิบที่มีในบ้านเมืองเราที่มีศักยภาพจะใช้เป็นเชื้อเพลิง
ทดแทนได้ในยามที่ทั่วโลกจะต้องพึ่งพาเมื่อถึงภาวะวิกฤติทางด้านน้ำมัน และ
ทรงอดทนรอผลแห่งความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาจนกลายเป็นไบโอดีเซล
มาอย่างยาวนาน ก่อนที่จะมีการตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานทดแทนกัน
อย่างกว้างขวาง ในขณะนี้
พระราชดำริเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ประสบชัยชนะแห่งการพัฒนาแล้ว...ในวันนี้
? ? ? ?
http://www.chaipat.or.th/





วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ข้อที่17หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในอินเตอร์เนตของประเทศไทย

หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย
ISP คงเป็นหน่วยงานแรกที่หลายๆ คนคงคิดถึงเมื่อนึกถึงหัวข้อนี้ รองลงไปก็คงเป็นเนคเทค ซึ่งก็ถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย แต่ก็ยังมีหน่วยงานอื่นอีกหลายหน่วย ดังนี้
การสื่อสารแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้ผูกขาดบริการวงจรสื่อสารระหว่างประเทศ ผู้ให้ใบอนุญาต และถอดถอนสิทธิการให้บริการของ ISP รวมทั้งเป็นหุ้นส่วนของ ISP ทุกราย (32%) รวมทั้งเป็นผู้ให้บริการจุดแลกเปลี่ยนสัญญาณภายในประเทศ
ISP - Internet Service Providers หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ทั้ง 17 ราย (พ.ย. 2545) ในฐานะผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่บุคคลและองค์กรต่างๆ
ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไม่หวังกำไร เช่น SchoolNet ที่ให้บริการโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ, ThaiSarn ผู้ให้บริการเชิงวิจัยสำหรับสถานศึกษา, UniNet เครือข่ายของทบวงมหาวิทยาลัย, EdNet เครือข่ายของกระทวงศึกษาธิการ และ GINet เครือข่ายรัฐบาล
THNIC ในฐานะผู้ให้บริการจดทะเบียนชื่อโดเมนสัญชาติไทย (.th) และผู้ดูและบบบริการสอบถามชื่อโดเมนสัญชาติไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การดูแลของ AIT
NECTEC หรือศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ในฐานหน่วยงานวิจัย ค้นคว้า และพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล และในฐานะผู้ให้บริการจุดแลกเปลี่ยนสัญญาณภายในประเทศ ผู้ดูแลเครือข่าย Thaisarn, SchoolNet, GINet และในฐานะคณะอนุกรรมการด้านนโยบายอินเทอร์เน็ตสำหรับประเทศไทย
ผู้ให้บริการวงจรสื่อสารภายในประเทศ ซึ่งมีหลายรายเช่น การสื่อสารแห่งประเทศไทย, บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทเอกชนอื่นๆ

ข้อที่16 Cybersquatter

Cybersquatter Faces Jail Time For Wire Fra
Posted by ScuttleMonkey on Mon Sep 10, '07 06:49 PMfrom the it-isn't-true-till-i-see-a-summons dept.

coondoggie writes to mention that a Las Vegas man faces about 20 years in prison today after pleading guilty in a case where he impersonated intellectual property lawyers and tried to bully owners out of their domain names. "According to the FBI, David Scali is charged with registering an e-mail account under an alias and then sending e-mails in which he claimed to be the intellectual property lawyer. In the e-mails, which were sent in late June and early July of 2006, Scali threatened to file $100,000 trademark infringement lawsuits against the owners of various Internet website names unless they gave up their domain name registrations within two days."
ที่มาhttp://yro.slashdot.org/article.pl?sid=07/09/10/2128214&from=rss